ด้วยนายวัชระ พรรณเชษฐ์ ผู้แทนการค้าไทย ได้นำคณะภาคเอกชนภายใต้สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับกว่า 70 บริษัท เดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ 14-21 มกราคม 2553 ตามคำเชิญของสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยฯ และบริษัท เฟียร่า มิลาโน สปา ซึ่งเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าประเภทของขวัญของตกแต่งบ้าน และเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี (มาเซฟ มิลาโน อินเตอร์เเนล โฮม โชว์) เพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้ามาเชฟ มิลาโน และวิเชนซ่า โอโร เฟร์ส รวมทั้งไปเยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายย่อยที่ไปร่วมงานแสดงสินค้าที่อาคารพาลากิส ซึ่งจัดงานแสดงสินค้าฯ ในช่วงเวลาเดียวกันกับงานวิเชนซ่า โอโร เฟิร์ส

          ในการเยือนครั้งนี้ ในส่วนของภาครัฐ นายวัชระฯได้เข้าพบหารือข้อราชการกับนายอดอฟโฟ เออร์โซ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจอิตาลี (ด้านการค้าต่างประเทศ) นายโรเบอร์โต รอนซ่า ที่ปรึกษาอาวุโสของผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์เดีย (ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ)  นายมาร์โก เฟลิซาตี้ รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายอุตสาหกรรมยุโรปและต่างประเทศ สมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งอิตาลี และประชุมร่วมกับผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจอิตาลี และสภาหอการค้าอิตาลี เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนการค้าการลงทุน และกิจกรรมต่างๆระหว่างไทยกับอิตาลี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระหว่างสองประเทศ

       ในส่วนของภาคเอกชน นายวัชระฯได้เป็นประธานเปิดงานไทยแลนด์พาวิเลี่ยนภายในงานแสดงสินค้ามาเซฟ มิลาโน เมืองมิลาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยได้ร่วมกลุ่มเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานฯนี้ นอกจากนี้ ยังได้พบกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเฟียร่า มิลาโน สปา สมาคมช่างทองแห่งลอมบาร์เดีย บริษัทพาลากิส (เป็นเจ้าของอาคารที่ให้เช่าพื้นที่ในการแสดงอัญมณีและเครื่องประดับที่อยู่ติดกับศูนย์แสดงสินค้าวิเชนซ่า) สมาคมผู้ประกอบการและส่งออกเครื่องจักรสำหรับการผลิตจิวเวลรี่ สมาคมออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับของอิตาลี บริษัทยูเนี่ยนเทรด (ผู้นำเข้าสินค้าและอาหารไทยรายใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของอิตาลี) บริษัทคามิสปา (ธุรกิจสปาของอิตาลีที่นำเข้าแรงงานจากไทย) และบริษัทมอนโดคอนวิเนียนซ่า (ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ของอิตาลี)

 ผลการเยือนและผลการหารือกับฝ่ายต่างๆมีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้

          1. สามารถผลักดันให้ภาคธุรกิจของอิตาลีจัดทำบันทึกความเข้าใจกับสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสมาคมฯกับบริษัทเฟียร่า มิลาโน สปา และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสมาคมฯกับสมาคมช่างทองแห่งลอมบาร์เดีย

          2. ผลักดันให้มีการต่ออายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระหว่างไทยกับอิตาลีที่เคยลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2547 และหมดอายุไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และจัดให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวระหว่างการแวะเยือนไทยของนายอดอฟโฟ เออร์โซ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจอิตาลี ในช่วงเดือนพฤษภาคม หรือช่วงเดือนกันยายน 2553 ซึ่งฝ่ายอิตาลีเห็นชอบกับข้อเสนอของฝ่ายไทย และจะประสานกับฝ่ายไทยในการปรับปรุงเนื้อหาของบันทึกความเข้าใจฯให้ครอบคลุมสาขาความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและความชำนาญบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการจัดกำหนดการที่เหมาะสมสำหรับการเยือนไทยของนายเออร์โซฯ

          3. เสนอให้ภาคเอกชนอิตาลีและไทยมีความร่วมมือด้านการจัดงานแสดงสินค้า การจับคู่ธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในสาขาอัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรสำหรับผลิตอัญมณ๊และเครื่องประดับการออกแบบผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และสปา เพื่อช่วยพัฒนาธุรกิจ ทักษะและความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในสาขาเหล่านี้

          4. ผลักดันให้อิตาลีหันมาลงทุนและทำการค้ากับประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยชี้ให้อิตาลีเห็นถึงประโยชน์ที่ภาคธุรกิจของอิตาลีจะได้รับจากการที่ไทยมีความตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศ เช่น ภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งไทยสามารถเป็นประตูสู่ตลาดการค้าในภูมิภาคเอเชียให้อิตาลีได้อย่างดียิ่ง

          5. ผลักดันให้รัฐบาลอิตาลีพิจารณาเรื่องการอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราให้แก่แรงงานไทยที่จะไปทำงานในอิตาลีให้เร็วขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา แรงงานไทยต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 ปี ในการขอรับการตรวจลงตราดังกล่าว โดยขอให้ฝ่ายอิตาลีใช้มาตรฐานเดียวกันกับการพิจารณาตรวจลงตราให้แก่แรงงานจากประเทศอื่นในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์

          6. คาดว่า ภาคเอกชนไทยจะมียิดขายต่อเนื่องจากการไปร่วมงานแสดงสินค้าที่มาเซฟ มิลาโนและวิเชนซ่า โอโร เฟิร์ส ไม่ตำกว่า 7000 ล้านบาท